สรุปสาระสำคัญ
กฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยความผิดที่มีโทษทางอาญา
พ.ศ. 2553
1. นิยามสำคัญ (ข้อ 2)
“ความผิดที่มีโทษทางอาญา” หมายความว่า
ความผิดที่มีโทษทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นที่เป็นความผิดอันยอมความได้
2. ขั้นตอนการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยความผิดที่มีโทษทางอาญา
ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาประสงค์จะให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ให้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือหรือด้วยวาจาต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอ ณ
ที่ว่าการอำเภอนั้น (ข้อ 4 วรรคแรก) เมื่อได้รับแจ้งความประสงค์แล้ว ให้แจ้งผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งทราบและสอบถามว่าจะยินยอมหรือแสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยหรือไม่
(ข้อ 4 วรรคสอง) ทั้งนี้ การแจ้งความประสงค์ดังกล่าว
มิใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ข้อ 6)
2.1 กรณีผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายตกลงยินยอมหรือแสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนการฯ
ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอนั้น
เป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามควรแห่งกรณี (ข้อ 3)
และแจ้งให้ทุกฝ่ายทราบ
และจัดให้มีการบันทึกการยินยอมหรือความจำนงเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยไว้ในสารบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญา
พร้อมทั้งให้ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายลงลายมือชื่อในสารบบฯ นั้น (ข้อ 4
วรรคสาม)
2.2
กรณีผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่แสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนการฯ
ให้การแจ้งความประสงค์สิ้นผลไป และให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอแจ้งผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายที่เหลือทราบด้วย
(ข้อ 4 วรรคสี่)
2.3 กรณีที่นายอำเภอหรือปลัดอำเภอเห็นว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก่อนวันแจ้งความประสงค์ฯ
หรือจะระงับก่อนวันที่นายอำเภอหรือปลัดอำเภอแจ้งให้ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อสอบถามความยินยอมหรือแสดงความจำนง
ห้ามมิให้รับข้อพิพาทนั้นไว้ไกล่เกลี่ย และแจ้งให้ผู้แจ้งความประสงค์ทราบโดยพลัน
(ข้อ 5)
3. สถานที่ดำเนินการกระบวนการไกล่เกลี่ยความผิดที่มีโทษทางอาญา (ข้อ 9)
ให้กระทำ
ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือในกรณีจำเป็นจะกระทำ ณ
สถานที่ราชการอื่นตามที่นายอำเภอกำหนดก็ได้
แต่ต้องแจ้งให้ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายทราบล่วงหน้าตามสมควร
4. การดำเนินการกระบวนการไกล่เกลี่ยความผิดที่มีโทษทางอาญา
4.1 เมื่อผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายลงลายมือชื่อในสารบบฯ
แล้ว ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอรับข้อพิพาทนั้นไว้ไกล่เกลี่ยต่อไป
และแจ้งให้ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายทราบถึงสิทธิของตนและผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
พร้อมทั้งสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับข้อพิพาท และบันทึกการแจ้งและรายละเอียดเกี่ยวกับข้อพิพาทดังกล่าวไว้ในสารบบฯ
(ข้อ 7 วรรคแรก)
4.2 การบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับข้อพิพาท
ให้บันทึกเฉพาะการกระทำที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามที่ได้ความจากผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายและผู้ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งวัน เวลา สถานที่ และบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทแล้วให้ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่าย
นายอำเภอหรือปลัดอำเภอลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน (ข้อ 7 วรรคสองและวรรคสาม)
โดยการสอบถามรายละเอียดให้กระทำต่อหน้าผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่าย
เว้นแต่ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาตามที่นัดหมายโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ทั้งนี้การไกล่เกลี่ยจะกระทำพร้อมกันหรือแยกกันก็ได้ แต่ในการตกลงกันนั้น
ให้กระทำต่อหน้าผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่าย (ข้อ 8)
4.3 ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายมีสิทธิให้ผู้ซึ่งตนไว้ใจไม่เกินสองคนเข้ารับฟัง
การไกล่เกลี่ยได้ แต่ในการไกล่เกลี่ยครั้งใด หากนายอำเภอหรือปลัดอำเภอเห็นว่าการมีบุคคลอื่นอยู่ด้วยจะเป็นอุปสรรคต่อการไกล่เกลี่ย จะมิให้บุคคลอื่นเข้าร่วมรับฟังก็ได้ (ข้อ 8 วรรคสอง)
การไกล่เกลี่ยได้ แต่ในการไกล่เกลี่ยครั้งใด หากนายอำเภอหรือปลัดอำเภอเห็นว่าการมีบุคคลอื่นอยู่ด้วยจะเป็นอุปสรรคต่อการไกล่เกลี่ย จะมิให้บุคคลอื่นเข้าร่วมรับฟังก็ได้ (ข้อ 8 วรรคสอง)
4.4 นายอำเภอหรือปลัดอำเภออาจเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาเสนอ
ข้อผ่อนผันให้แก่กัน หรืออาจเสนอทางเลือกให้แก่ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาผ่อนผันให้แก่กันก็ได้ แต่ห้ามมิให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอวินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือชี้ขาดข้อพิพาท (ข้อ 10)
ข้อผ่อนผันให้แก่กัน หรืออาจเสนอทางเลือกให้แก่ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาผ่อนผันให้แก่กันก็ได้ แต่ห้ามมิให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอวินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือชี้ขาดข้อพิพาท (ข้อ 10)
4.5 ผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกการไกล่เกลี่ย
โดยทำเป็นหนังสือหรือวาจาต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอก็ได้
และเมื่อได้รับการรับการบอกเลิกการไกล่เกลี่ยฯ ให้จำหน่ายข้อพิพาทนั้นออกจากสารบบฯ
(ข้อ 15)
5.
กรอบระยะเวลาในการดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท
ต้องให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่รับข้อพิพาทไว้
เว้นแต่มีความจำเป็นและผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายยินยอม
ให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 15 วัน หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถตกลงยินยอมกันได้
ให้จำหน่ายข้อพิพาทนั้น (ข้อ 16)
ทั้งนี้จะรับข้อพิพาทนั้นเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยอีกมิได้ (ข้อ 17)
6.
การตกลงในกระบวนการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท
กรณีที่ผู้เสียหายและผู้ถูกกล่าวหาทุกฝ่ายตกลงยินยอมตามที่ไกล่เกลี่ย
ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอจัดทำเป็นหนังสือตกลงยินยอม และบันทึกการตกลงฯ
ไว้ในสารบบฯ (ข้อ 11)
7.
ผลของหนังสือตกลงยินยอม
เมื่อได้มีการปฏิบัติตามความตกลงยินยอมแล้ว
ให้คดีอาญาเป็นอันเลิกกัน และสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ (ข้อ 12 วรรคแรก)
และกรณีที่มีการร้องทุกข์หรือยื่นฟ้องต่อศาลไว้
ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอแจ้งต่อพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี
(ข้อ 12 วรรสอง)
หากผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามความตกลงยินยอมหรือปฏิบัติ
ไม่ครบถ้วนภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอจำหน่ายข้อพิพาทออกจากสารบบฯ (ข้อ 14)
ไม่ครบถ้วนภายในเวลาที่ตกลงกันไว้ ให้นายอำเภอหรือปลัดอำเภอจำหน่ายข้อพิพาทออกจากสารบบฯ (ข้อ 14)
................................................................
ขอขอบคุณ
ส่วนกฎหมาย สำนักมาตรการป้องกันสาธารณภัย
3/12 ถ.อู่ทองนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
โทร: 02-637-3000 ต่อ 3367-8
3/12 ถ.อู่ทองนอก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
โทร: 02-637-3000 ต่อ 3367-8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น