ในการไกล่เกลี่ยฯ
ข้อพิพาททางแพ่ง เรื่องกู้ยืมเงิน หากมีบุคคลภายนอกเข้ามาค้ำประกันลูกหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
จะสามารถใช้บังคับกันได้หรือไม่อย่างไร
กรณีสมมุติ
นายแดง ทำสัญญากู้ยืมเงินนายดำเป็นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ตกลงจะใช้คืนให้ภายใน
๖ เดือน แต่หลังจากครบกำหนด ๖ เดือนแล้ว นายแดงก็มิได้นำเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยมาใช้คืนนายดำแต่อย่างใด
นายดำจึงมายื่นคำร้องต่อนายอำเภอเพื่อให้ดำเนินการไกล่เกลี่ย
นายแดงก็ยินยอมเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยฯ
มีคณะผู้ไกล่เกลี่ยครบถ้วน ครั้นเมื่อถึงวันนัดทำการไกล่เกลี่ย
นายแดงบอกว่าตนมีอาชีพรับจ้าง ไม่มีเงินเป็นก้อนที่จะชำระในครั้งเดียวหมด จะขอผ่อนชำระให้แก่นายดำเป็นเดือนๆ ละ
๒,๐๐๐ บาท
นายดำเห็นว่านายแดงมีอาชีพและรายได้ที่ไม่แน่นอน
เกรงว่าจะไม่ได้รับชำระหนี้มาทุกเดือน
จึงบอกให้นายแดงไปหาคนที่น่าเชื่อถือมาค้ำประกัน ถึงจะยอมตกลง การไกล่เกลี่ย
จึงต้องขยายระยะเวลาออกไปอีกครั้ง
เมื่อถึงกำหนด
นายแดงได้นำนายเหลืองมาเพื่อให้นายเหลืองเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของตน
คณะผู้ไกล่เกลี่ยจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้น มีใจความว่า
นายแดงตกลงจะชำระหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้แก่นายดำเป็นเงินจำนวน
๕๕,๐๐๐ บาท โดยจะผ่อนชำระให้เป็นรายเดือนๆ
ละ ๒,๐๐๐ บาท เริ่มเดือนแรกวันที่ ๕
กรกฎาคม ๒๕๕๕ และต่อไปทุกวันที่ ๕ ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบจำนวน หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง
ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดและยอมให้นายดำขอศาลออกคำบังคับได้ทันที
พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของเงินต้นที่ค้างจนกว่าจะชำระเสร็จ
อนึ่ง ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ ได้มีนายเหลือง ขอเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของนายแดง
โดยสัญญาว่า หากนายแดงผิดนัดชำระหนี้แก่นายดำ
นายเหลืองขอรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับนายแดงทุกประการ และการที่นายดำยินยอมผ่อนผันการชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่งแล้ว
ให้ถือว่านายเหลืองทราบและยินยอมในการผ่อนผันในครั้งๆ นั้นด้วย
กรณีเช่นนี้ หากนายแดงได้ผิดนัดชำระหนี้
ไม่ยอมผ่อนชำระตามที่ตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความแก่นายดำ เมื่อนายดำไปทวงถามเอากับนายเหลืองในฐานะผู้ค้ำประกันที่ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นายเหลืองก็นิ่งเฉย
ทำไม่รู้ไม่ชี้และไม่ชำระหนี้แทนนายแดงตามที่ตนระบุในสัญญาค้ำประกัน
นายดำจึงไปยื่นคำร้องต่ออัยการเพื่อขอให้อัยการไปยื่นคำร้องต่อศาล
ขอให้ศาลออกคำบังคับไปยังนายแดง ให้ทำการชำระหนี้ที่ค้างทั้งหมดภายใน ๓๐
วัน หากพ้นกำหนดนี้แล้วยังไม่ชำระ
ก็จะดำเนินการยึดทรัพย์บังคับคดีกับนายแดงและนายเหลืองต่อไป
สำหรับนายแดงน่ะ สามารถออกคำบังคับได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่นายเหลืองล่ะ
นายดำจะขอออกคำบังคับได้ด้วยหรือไม่
โดยอาศัยการที่นายเหลืองได้เข้ามาแสดงตนขอเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของนายแดงต่อคณะผู้ไกล่เกลี่ย
ซึ่งมีนายอำเภอเป็นประธานคณะผู้ไกล่เกลี่ย
ได้ดำเนินกระบวนการไกล่เกลี่ยอย่างถูกต้องตามประกาศกฎกระทรวงฯ
ผู้เขียนขอยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๗๔ มาเพื่อคุยหารือกันนะครับ
มาตรา ๒๗๔ ถ้าบุคคลใด ๆ ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันในศาลโดยทำเป็นหนังสือประกันหรือโดยวิธีอื่น ๆ เพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หรือคำสั่ง หรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นย่อมใช้บังคับแก่การประกันนั้นได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่
ยกตัวอย่าง
เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ต่อศาลให้มีการชำระหนี้เงินกู้ยืมโดยไม่มีผู้ค้ำประกัน จำเลยผู้กู้ก็อยากจะยอมความ
อยากจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย แต่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เห็นว่าจำเลยเป็นคนหลักลอย
ทำงานมั่ง ไม่ทำมั่ง โจทก์ก็เลยอยากให้จำเลยหาบุคคลที่ฐานะดีกว่าจำเลยมาค้ำประกัน จำเลยก็ได้ไปนำญาติของตนมาศาล ขอเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยในสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำต่อศาลนี้
ตามความในมาตราที่ยกมาข้างต้น
ยอมให้ทำได้ ยอมให้ญาติจำเลยเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาประนีประนอมยอมความได้
โดยระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเลย
หากจำเลยผิดนัดชำระจนเป็นเหตุให้โจทก์ดำเนินการเพื่อยึดทรัพย์บังคับคดีกับจำเลยและญาติจำเลยคนนี้ได้โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องญาติจำเลยเป็นคดีขึ้นใหม่
แม้ในคำฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ จะไม่ปรากฏมีญาติจำเลยคนนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมมาตั้งแต่แรกก็ตาม
เรียกว่ามีผลใช้บังคับกันได้เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจน
ทีนี้ก็ขอวกกลับไปที่เรื่องหนี้ระหว่างนายแดงนายดำว่า
จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔
มาใช้บังคับกับนายเหลืองด้วยได้หรือไม่
สำหรับผู้เขียนเอง
มีความเห็นว่า ในกระบวนการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่งนี้ เป็นการที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและตามที่กำหนดไว้ในประกาศกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง
พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งในประกาศฯ
มิได้บอกให้นำเรื่องนั้น มาตรานี้
จากกฎหมายโน้นมาใช้โดยอนุโลม การที่นายเหลืองเข้ามาค้ำประกันการชำระหนี้ของนายแดง
ก็เป็นการเข้ามาค้ำประกันในที่ว่าการอำเภอ
ซึ่งที่ว่าการอำเภอมิใช่ศาลสถิตยุติธรรม
จึงไม่อาจที่จะนำมาตรา ๒๗๔ นี้ มาใช้กับกระบวนการไกล่เกลี่ยของอำเภอได้เลย
ดังนั้น
หากนายดำจะบังคับเอาจากนายเหลืองในฐานะผู้ค้ำประกันนายแดงแล้ว
นายดำจะต้องนำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนั้นไปฟ้องต่อศาลยุติธรรมเป็นคดีใหม่ เล่นกันอีกหลายเดือนเลยกว่าศาลจะมีคำพิพากษานายเหลืองน่ะ
ที่ผู้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมา
เพราะเมื่อครั้งได้รับการอบรมผู้ไกล่เกลี่ยตามบัญชีรายชื่อของอำเภอ ณ
ที่ว่าการอำเภอ ต้นปี ๒๕๕๔ ผู้เขียนคิดแบบชาวบ้านว่า หากกำลังไกล่เกลี่ย
แล้วอีกฝ่ายต้องการให้มีคนอื่นเข้ามาค้ำประกัน คนค้ำประกันจะลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความได้หรือไม่ แล้วจะบังคับกันอย่างไรได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่มีใครมาค้ำประกัน
การไกล่เกลี่ยก็อาจไม่ยุติได้ง่ายๆ
จึงได้สอบถามท่านวิทยากร(อีกแล้ว)ในเรื่องนี้ โดยถามเทียบว่าคนที่เข้ามาค้ำประกัน
มิใช่คู่พิพาทมาแต่แรก
การเข้ามาค้ำประกันก็ทำที่อำเภอ มิใช่ทำในศาล จะเอามาตรา ๒๗๔
นี้ใช้ได้หรือไม่
ท่านวิทยากรตอบว่า
..ใช้ได้
เพราะเมื่อบุคคลภายนอกเข้ามาลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ก็ถือได้ว่าเป็นคู่พิพาทแล้ว
ใช้บังคับได้แม้จะไม่ได้ทำกันในศาล ให้ใช้ไปก่อน ปล่อยให้มีปัญหาเกิดขึ้น
เดี๋ยวก็จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายกันเอง....
ผู้ไกล่เกลี่ยที่เข้ารับการอบรมหลายๆ
ท่านในห้องประชุมก็เห็นพ้องกันว่า ..ได้ ได้
ได้อยู่แล้ว..
เมื่อเสียงส่วนใหญ่บอกว่าได้ ได้ ผู้เขียนก็ต้องเงียบล่ะครับ ต้องให้ความเคารพต่อวิทยากร
เพราะหากไม่มีพวกท่าน พวกเราก็จะหาความรู้ในเรื่องไกล่เกลี่ยมิได้เลย เรื่องที่ผู้เขียนสงสัยมีน้อยนิด
แต่ได้เรื่องที่มีประโยชน์อย่างคณานับ เทียบกันไม่ได้
ผู้เขียนเองก็เชื่อว่าเนื่องจากการทำหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยตามประกาศกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง
พ.ศ.๒๕๕๓ นี้ เป็นเรื่องใหม่ เป็นกฎหมายใหม่ๆ สดๆ ข้อบัญญัติก็มีไม่มากนัก จะเน้นไปในทางที่ให้ผู้ไกล่เกลี่ยฯ
ดำเนินการระงับข้อพิพาทที่น่าจะคุยกันในระดับคนในชุมชนเดียวกันลงให้ได้โดยเร็ว
ไม่ต้องเอะอะๆ ก็นำข้อพิพาทโต้แย้งกันไปฟ้องร้องต่อศาล ทำให้มีคดีเล็กๆ น้อยๆ รกศาลมากมาย ผู้เขียนก็เชื่อว่าโอกาสข้างหน้าที่การไกล่เกลี่ยจะเกิดปัญหาของในส่วนที่ยังไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็จะต้องมีขึ้นแน่นอน
และจะเป็นทางไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกฎกระทรวงฯ ที่ละฉบับๆ
เช่นเดียวกับกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองทั้งหลายแหละครับ
ผู้เขียนได้แอบภาวนาขอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกฎกระทรวงฯ
นี้ ให้ในชั้นบังคับคดีเอากับคู่พิพาทนั้น
ทางกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงยุติธรรมจะเป็นผู้แย่งกันขอเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแทนคู่พิพาทฝ่ายที่ร้องขอ
เช่น เงินวางประกันการยึดทรัพย์ เงินค่าฤชาธรรมเนียมต่างๆ
ไหนๆ
เมื่อประสงค์จะให้คู่พิพาทไม่ต้องไปฟ้องศาลเองให้เสียเงินค่าฤชาธรรมเนียม ไม่ต้องเสียเงินค่าทนายความแล้ว ก็ควรที่จะไม่ต้องให้เสียเงินค่าใช้จ่ายในชั้นบังคับคดีด้วยเลย
น่าจะดีนะครับ
ขอขอบพระคุณแทนชาวบ้านมาล่วงหน้าหลายๆ
ปีเลยนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น