เป็นฎีกาเมื่อปี ๒๕๕๑
ศาลยกฟ้องมีใจความว่า การที่จำเลยเปิดแผ่นเพลงลิขสิทธิ์ให้ลูกค้าฟัง โดยที่จำเลยมิได้ทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด
จำเลยมิได้ทำ "เพื่อประโยชน์ในทางการค้า" การกระทำของจำเลยตามฟ้อง
จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 แม้จำเลยให้การรับสารภาพ
ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้...........
คำพิพากษาศาลฎีกา
: ฎีกาเลขที่ ๑๐๕๗๙/๒๕๕๑
ผู้พิพากษา
: พรเพชร วิชิตชลชัย - พลรัตน์ ประทุมทาน - บุญรอด ตันประเสริฐ
ผู้ย่อ
: จุลเจษฎ์ ฉัตราคม
โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม
สิ่งบันทึกเสียงโสดทัศนวัสดุเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" ของบริษัทอาร์เอส
จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศ
ไทยตลอดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ โดยนำเอาเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว"
ที่มีผู้อื่น ทำซ้ำ โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายในลักษณะแผ่นเอ็มพี 3
และชีดีเพลงเปิดให้ บริการลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านอาหาร "เจ้จิ๋ม
จิ๋มจุ่ม" ของจำเลยได้ร้องและ ฟังเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว"
อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในทางการค้าขายอาหาร
และเครื่องดื่มของจำเลยโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเพลงดังกล่าวได้กระทำขึ้นโดยละเมิด
ลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย และไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ
ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดเครื่องเล่นวีซีดี จำนวน 1 เครื่อง และแผ่นซีดี
จำนวน 1 แผ่น อันเป็นอุปกรณ์ที่จำเลยใช้เปิดเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว"
บริการแก่ลูกค้าดังกล่าว เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.
2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 17, 31, 70, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
ริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่
ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
ของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า
"คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.
2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า
"ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้
ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์.."
ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็น
การกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น "เพื่อหากำไร”
เท่านั้น แต่ ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นปรากฏว่าจำเลยเปิดแผ่นเอ็มพี 3
และซีดีเพลงให้ลูกค้า ในร้านอาหารของจำเลยได้ร้องและฟังเพลงของผู้เสียหายจำนวน 1
เพลง เพียง
"เพื่อประโยชน์ในทางการค้า" ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลย
ตามคำบรรยาย
ฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้า ได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือ
เรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้อง
จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 เพราะ
ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าวซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อ
หากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นด้วย ดังนั้น แม้จำเลยให้การรับสารภาพ
ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ
การค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงชอบแล้ว
อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
.............................
ยังมีพ่อค้าแม่ขายอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าการเปิดเพลงในร้านค้าให้ลูกค้าฟัง
หากเข้าองค์ประกอบตามฎีกานี้ ก็ไม่เป็นความผิด แม้จะสารภาพ(เพราะถูกบังคับขู่เข็ญก็ตาม.....) ขอให้ช่วยกันทำการบอกกล่าวเผยแพร่ฎีกานี้ให้แก่พรรคพวกหรือเพื่อกุศลแก่เหล่าร้านค้าฯ
ด้วยนะครับ มิเช่นนั้นคนค้าขายที่ชอบฟังเพลงก็ยังจะต้องถูกรีดไถไปอย่างไม่รู้จบ พกคำพิพากษาฎีกานี้ไว้ในร้านเลย หากมีกลุ่มนักบินเข้ามาขอตรวจค้นหรือเพื่อจะจับกุม
หรือเพื่อการตีกิน นอกจากเราควรจะถ่ายคลิปบุคคลเหล่านั้นไว้แล้ว
เรายังสามารถนำคำพิพากษาฎีกานี้ให้พวกที่อ้างตนเข้ามาค้นให้อ่านเสียด้วย เขาอาจบอกว่า
นั่นมันเรื่องของการต่อสู้ในชั้นศาล ให้เราไปต่อสู้เองที่ศาล แต่คำพิพากษาฎีกาเป็นเสมือนบรรทัดฐานของคดีที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งพวกเขาอ่านแล้วอาจจะแกล้งโง่ รักษาเหลี่ยมด้วยการบอกลดราคาลงเหลือตั๋วเด็ก
คือขอรับทรัพย์จากเราครึ่งราคา ก็อย่ายอมนะครับ
จดบันทึกชื่อเสียงเรียงนาม แล้วไปแจ้งความได้เลย
ทราบว่าที่เชียงใหม่
มีนักกฎหมายจิตอาสา ได้ทำการประชาสัมพันธ์ฎีกานี้อยู่
และกำลังออกตามเช็ดพวกนักบินที่เป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งอยู่ครับ ชื่อ-สังกัด เขามีไว้หมดแล้ว เหล่านักบินคงจะโฉบทรัพย์ยากขึ้นครับ
เข้าใจง่ายๆ ว่า เมื่อศาลบอกไม่ผิด แล้วตำรวจจะมาบอกว่าผิดได้อย่างไร เอาข้อกฎหมายใดมาอ้าง ตำรวจที่ดี จะไม่ออกรีดไถหรอกครับ
ตอบลบ