วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฎีกาน่าสนใจ : ศาลยกฟ้องจำเลยที่เปิดเพลงลิขสิทธิ์ให้ลูกค้าในร้านฟัง


เป็นฎีกาเมื่อปี ๒๕๕๑  ศาลยกฟ้องมีใจความว่า การที่จำเลยเปิดแผ่นเพลงลิขสิทธิ์ให้ลูกค้าฟัง โดยที่จำเลยมิได้ทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด  จำเลยมิได้ทำ  "เพื่อประโยชน์ในทางการค้า"  การกระทำของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31  แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้...........

คำพิพากษาศาลฎีกา : ฎีกาเลขที่ ๑๐๕๗๙/๒๕๕๑
ผู้พิพากษา : พรเพชร วิชิตชลชัย - พลรัตน์ ประทุมทาน - บุญรอด ตันประเสริฐ
ผู้ย่อ : จุลเจษฎ์ ฉัตราคม

         โจทก์ฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทดนตรีกรรม สิ่งบันทึกเสียงโสดทัศนวัสดุเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" ของบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศ ไทยตลอดระยะเวลาในการสร้างสรรค์ โดยนำเอาเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" ที่มีผู้อื่น ทำซ้ำ โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายในลักษณะแผ่นเอ็มพี 3 และชีดีเพลงเปิดให้ บริการลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านอาหาร "เจ้จิ๋ม จิ๋มจุ่ม" ของจำเลยได้ร้องและ ฟังเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในทางการค้าขายอาหาร และเครื่องดื่มของจำเลยโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเพลงดังกล่าวได้กระทำขึ้นโดยละเมิด ลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย และไม่ได้รับการยกเว้นใดๆ ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมยึดเครื่องเล่นวีซีดี จำนวน 1 เครื่อง และแผ่นซีดี จำนวน 1 แผ่น อันเป็นอุปกรณ์ที่จำเลยใช้เปิดเพลง "ที่หนึ่งไม่ไหว" บริการแก่ลูกค้าดังกล่าว เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 17, 31, 70, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบของกลาง และสั่งจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
         จำเลยให้การรับสารภาพ
         ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ของกลางคืนให้แก่เจ้าของ
         โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
         ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537  มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์.." ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็น การกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น "เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นปรากฏว่าจำเลยเปิดแผ่นเอ็มพี 3 และซีดีเพลงให้ลูกค้า ในร้านอาหารของจำเลยได้ร้องและฟังเพลงของผู้เสียหายจำนวน 1 เพลง เพียง  "เพื่อประโยชน์ในทางการค้า" ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลย ตามคำบรรยาย ฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้า ได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจากลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือ เรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 เพราะ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าวซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อ หากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นด้วย ดังนั้น แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  185 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
         พิพากษายืน
.............................

ยังมีพ่อค้าแม่ขายอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าการเปิดเพลงในร้านค้าให้ลูกค้าฟัง หากเข้าองค์ประกอบตามฎีกานี้ ก็ไม่เป็นความผิด แม้จะสารภาพ(เพราะถูกบังคับขู่เข็ญก็ตาม.....)   ขอให้ช่วยกันทำการบอกกล่าวเผยแพร่ฎีกานี้ให้แก่พรรคพวกหรือเพื่อกุศลแก่เหล่าร้านค้าฯ ด้วยนะครับ  มิเช่นนั้นคนค้าขายที่ชอบฟังเพลงก็ยังจะต้องถูกรีดไถไปอย่างไม่รู้จบ  พกคำพิพากษาฎีกานี้ไว้ในร้านเลย   หากมีกลุ่มนักบินเข้ามาขอตรวจค้นหรือเพื่อจะจับกุม หรือเพื่อการตีกิน  นอกจากเราควรจะถ่ายคลิปบุคคลเหล่านั้นไว้แล้ว  เรายังสามารถนำคำพิพากษาฎีกานี้ให้พวกที่อ้างตนเข้ามาค้นให้อ่านเสียด้วย   เขาอาจบอกว่า นั่นมันเรื่องของการต่อสู้ในชั้นศาล ให้เราไปต่อสู้เองที่ศาล  แต่คำพิพากษาฎีกาเป็นเสมือนบรรทัดฐานของคดีที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน  ซึ่งพวกเขาอ่านแล้วอาจจะแกล้งโง่ รักษาเหลี่ยมด้วยการบอกลดราคาลงเหลือตั๋วเด็ก คือขอรับทรัพย์จากเราครึ่งราคา ก็อย่ายอมนะครับ  จดบันทึกชื่อเสียงเรียงนาม แล้วไปแจ้งความได้เลย
            ทราบว่าที่เชียงใหม่ มีนักกฎหมายจิตอาสา ได้ทำการประชาสัมพันธ์ฎีกานี้อยู่ และกำลังออกตามเช็ดพวกนักบินที่เป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งอยู่ครับ  ชื่อ-สังกัด เขามีไว้หมดแล้ว  เหล่านักบินคงจะโฉบทรัพย์ยากขึ้นครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. เข้าใจง่ายๆ ว่า เมื่อศาลบอกไม่ผิด แล้วตำรวจจะมาบอกว่าผิดได้อย่างไร เอาข้อกฎหมายใดมาอ้าง ตำรวจที่ดี จะไม่ออกรีดไถหรอกครับ

    ตอบลบ