เนื่องจากบทความที่จะเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยฯ ผู้เขียนได้พยายามค้นหา
พยายามคิดที่จะนำมาลงในระยะนี้ยังไม่มีเรื่องใดที่จะเพิ่มเติม แต่ไม่อยากให้บล็อกฯ นิ่งอยู่เฉยๆ เลยจะขอนอกเรื่องงานไกล่เกลี่ยฯ
โดยจะนำข้อกฎหมายหรือคดีแปลกๆ หรือการเพลี่ยงพล้ำในทางคดีที่ผู้เขียนค้นพบจากห้องสมุดกฎหมายหรือจากหนังสือที่ผู้เขียนสะสมมาเล่าสู่กันฟัง
โดยในบางเรื่องจะเป็นการบอกใบ้ว่า ชาวบ้านอย่างเราๆ
ที่ไม่ค่อยเข้าใจกฎหมายก็ย่อมมีความรู้สึกกลัวว่าจะใช้ข้อกฎหมายผิด
แต่ก็ยังมีผู้ที่ใช้กฎหมายประจำทำคดีผิดเพี้ยนไป
ดังนั้นเราต้องอย่ามองตัวเราว่าใช้กฎหมายไม่เป็นนะครับ ผู้เขียนมิได้เจตนาจะนำบทความหรือคดีใดๆ
มาเพื่อตำหนิผู้เกี่ยวข้อง เพียงแต่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ เข้าใจว่า
เรายังมีศาลเป็นที่พึ่ง ที่จะให้ความยุติธรรมกับเราได้ครับ
เรามาทำความเข้าใจกับกระบวนการฟ้อง การพิจารณาคดี
ไปจนถึงการพิเคราะห์ของศาลเพื่อที่จะลงโทษจำเลยในคดีอาญา
ว่าจะลงโทษตามคำฟ้องได้เพียงใด โดยจะพยายามใช้ภาษากฎหมายที่อ่านง่าย เข้าใจง่ายนะครับ
คดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยได้ขายเทปผีซีดีเถื่อน เคยโดนจับส่งฟ้องมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยังมากระทำความผิดซ้ำอีก
มีบทกฎหมายให้ลงโทษสองเท่าแก่ผู้ที่เคยได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วในความผิดที่ได้กระทำซ้ำยังไม่ครบตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
โดยผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องขอให้ศาลลงโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545
ผู้ฟ้องคดีบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้เมื่อวันที่
3 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ลงโทษปรับในความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน
2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว
ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา
73 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
........................................
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 มาตรา 73
บัญญัติว่า “ ผู้ใดกระทำความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพ้นโทษแล้วยังไม่ครบกำหนดห้าปี
กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัตินี้อีก ต้องระวางโทษ
เป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
จำเลยในคดีนี้ จึงโชคดีที่ไม่โดนโทษเบิ้ลเป็นสองเท่า
แต่ก็เหมาะสมในฐานที่ได้ฝ่าฝืนกระทำการที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด ทั้งๆ
ที่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ยังทำผิดอีก ไม่รู้ว่าในระหว่างขายอยู่นั้นจะไม่คิดเลยรึว่า
มีสิทธิ์โดนจับอีก
คดีนี้
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีก็ทราบดีว่าศาลไม่อาจลงโทษจำเลยเป็นสองเท่าได้
เพราะในวันที่ถูกจับกุมในความผิดครั้งที่สองนั้น
ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาในคดีความผิดที่ถูกจับกุมครั้งแรก
แม้คดีจะอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ตาม ก็มิอาจถือว่าจำเลยต้องระวางโทษ
ในการฟ้องคดีไม่ว่าจะโดยเจ้าพนักงานของรัฐหรือทนายความทั้งบิ๊กๆ
หรือที่พึ่งได้ตั๋วทนายใหม่ๆ ในบางครั้งที่มีความเห็นในพฤติการณ์ที่ก้ำกึ่งกับข้อกฎหมาย
ก็อาจบรรยายฟ้องเข้าไปโดยมีเจตนาเพื่อขอให้ศาลพิเคราะห์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แก่นักกฎหมายต่อไป มิได้เป็นเพราะความพลั้งเผลอหรือคลาดเคลื่อนแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น