จากที่ผู้เขียนได้ยินว่ามีผู้ไกล่เกลี่ยฯ
จำนวนมาก สอบถามกับทางอำเภอว่า ทำไมทางอำเภอถึงไม่ทำบัตรประจำตัวผู้ไกล่เกลี่ยฯ
ให้ติดตัวเพื่อแสดงตนต่อชุมชนหรือต่อคู่พิพาทว่าตนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยฯ
ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อฯ จริงหรือเปล่านั้น
ผู้เขียนเข้าใจว่าผู้ไกล่เกลี่ยฯ
บางท่าน อาจกำลังเปรียบเทียบการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง กับการเป็นเครือข่ายและอาสาคุ้มครองสิทธิ
หรือที่เราเรียกบุคคลผู้ที่เป็นอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิฯ กันว่า”เครือข่าย” นั้น
ซึ่งอาสาสมัครฯ
เหล่านี้จะมีบัตรประจำตัวไว้แสดงตนต่อชุมชนหรือต่อผู้อื่นว่าตนเป็นเครือข่ายฯ จริง แต่ทำไมผู้ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง
ซึ่งจะทำหน้าที่ระงับข้อพิพาทในชุมชนเช่นกันถึงไม่มีบัตรประจำตัวกันเล่า
ผู้เขียนขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ตามประสาคนที่ชอบคิดเอง
เออเอง อาจไม่ถูกต้องก็ได้
แต่อยากจะมาแชร์ความคิดเห็นแก่ผู้มีจิตอาสาเพื่อช่วยแย้งความคิดเห็นของผู้เขียนว่าคิดไม่ถูกต้องด้วยนะครับ
งั้นเรามาดูกันก่อนว่า ทำไม “เครือข่าย”
ถึงได้มีบัตรประจำตัวได้อย่างถูกต้อง
ก็มาดูที่นี่ก่อน
ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัครฯ
พ.ศ. ๒๕๔๘
ระเบียบกระทรวงยุติธรรม
|
ว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
|
พ.ศ. ๒๕๔๘
|
___________________________
|
ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๔๐ มาตรา ๗๕ กำหนดให้รัฐ.............
............……..
|
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงเห็นควรกำหนดระเบียบการดำเนินงานของเครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพไว้
ดังนี้………..
|
………………….
|
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
พ.ศ. ๒๕๔๘”………..
|
………………….
|
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศเป็นต้นไป………..
|
…………………………..
|
ข้อ ๓ ในระเบียบนี้
|
………..
|
“เครือข่าย” หมายถึง เครือข่ายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
|
………..
|
“เครือข่ายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ”
หมายถึง กลุ่มบุคคลหรือกลุ่มอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้ง
หรือกลุ่มองค์กรที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับหน่วยงานอื่นจัดตั้งขึ้น
อาทิ เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ จัดตั้งขึ้นทั้งในระดับหมู่บ้านตำบล
อำเภอ จังหวัด ภาค หรือประเทศ โดยสมาชิกของเครือข่ายมีสถานภาพเช่นเดียวกับอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
และได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบนี้
|
………..
|
“อาสาสมัคร” หมายถึง อาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
|
………..
|
“อาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ”
หมายถึง
บุคคลที่ได้รับคัดเลือกจากประชาชนหรือกลุ่มองค์กรประชาชนในชุมชน โดยให้ใช้ชื่อย่อภาษาไทยว่า
“อสภ.” และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติบทบาท
และสิทธิ หน้าที่ ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
|
………..
|
“อธิบดี” หมายถึง
อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
|
………..
|
“บัตรประจำตัว” หมายถึง บัตรประจำตัวอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
|
………..
|
จะเห็นได้ว่า ในระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยเครือข่ายและอาสาสมัครฯ
พ.ศ. ๒๕๔๘ กำหนดให้ “เครือข่าย”
มีบัตรประจำตัวอาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
แต่ในกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง
พ.ศ.๒๕๕๓ มิกำหนดว่าให้ผู้ไกล่เกลี่ยฯ
มีบัตรประจำตัวแต่อย่างใด
แล้ว “เครือข่าย”
จะมีบัตรประจำตัวไปแสดงกับใครล่ะ เราก็ลองไปดูหน้าที่ของ “เครือข่าย”
ตามที่ระเบียบกระทรวงยุติธรรมฯ กำหนดในหมวด ๒ นะครับ
หมวด ๒
|
………..
|
บทบาทและหน้าที่
|
………..
|
_________________
|
………..
|
ข้อ ๙ เครือข่ายและอาสาสมัคร
มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
|
………..
|
(๑) เผยแพร่
ประชาสัมพันธ์ หรือจัดการรณรงค์ และให้ความรู้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชน และชุมชนตระหนักในด้านสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
|
………..
|
(๒) ให้คำปรึกษา
ช่วยเหลือ เป็นผู้ดำเนินการ หรือเป็นผู้ประสานงาน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
และการจัดการความขัดแย้ง การระงับข้อพิพาทชุมชน
|
………..
|
(๓) เสริมสร้างและพัฒนาเครือข่ายในการทำงานด้านสิทธิเสรีภาพ
ตลอดจนดำเนินการหรือให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนากลไกการจัดการความขัดแย้งในชุมชน
|
………..
|
(๔) ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีเหตุความไม่เป็นธรรมในชุมชน
|
………..
|
(๕) ประสานการดำเนินงานตามข้อ
(๑) – (๔) ร่วมกับผู้แทนกระทรวงยุติธรรมประจำจังหวัดเครือข่ายยุติธรรมชุมชน
หรือเครือข่ายอื่นๆ ในพื้นที่
|
………..
|
(๖) เมื่อเครือข่าย
หรืออาสาสมัคร มีความพร้อม อาจรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ประสานงานในชุมชนได้
|
………..
|
(๗) ให้มีการรายงานผลการดำเนินงานต่อกรมอย่างน้อยปีละ
๑ ครั้ง หรือตามที่กรมกำหนด
|
………..
|
(๘) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ
ตามที่กรม หรือหน่วยงานราชการ หรือองค์กรอื่นร้องขอ
|
เราจะเห็นได้ว่า หน้าที่ส่วนใหญ่ของ “เครือข่าย”
จะเป็นการต้องออกไปพบพูดคุย การไปจัดการกับความขัดแย้ง ระงับข้อพิพาทของชุมชนยังท้องที่ต่างๆ
แต่หน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยฯ
คือการทำการระงับข้อพิพาทที่มีคู่พิพาทนำเรื่องมาร้องเรียนต่อนายอำเภอ เมื่อนายอำเภอได้ตั้งคณะผู้ไกล่เกลี่ยฯ
เข้าทำการไกล่เกลี่ยฯ กฎกระทรวงฯ ได้กำหนดให้ทำการไกล่เกลี่ย ณ
ที่ว่าการอำเภอ อาจเป็นในห้องศูนย์ไกล่เกลี่ยฯ,
ห้องประชุมหรือห้องอื่นใดที่อยู่ในที่ว่าการอำเภอ หากไปไกล่เกลี่ยกัน ณ สถานที่อื่นๆ เช่นสถานีตำรวจใกล้ๆ กัน ในวัด หรือที่บ้านพักข้าราชการ ก็อาจทำให้การไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทที่ทำลงได้สำเร็จนั้น
มิใช่เป็นการไกล่เกลี่ยตามกฎกระทรวงว่าด้วยการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางแพ่ง
พ.ศ.๒๕๕๓
สัญญาประนีประนอมที่เกิดขึ้นมานี้ ก็ไม่อาจใช้บังคับตามกฎกระทรวงฯ ได้
มองต่อไป คู่พิพาทเป็นผู้เลือกผู้ไกล่เกลี่ยตามบัญชีรายชื่อฯ
ที่นายอำเภอให้เลือกเพื่อให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยฝ่ายตน ก็เท่ากับคู่พิพาทยอมรับความเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแล้ว
ไม่ต้องขอดูบัตรฯ
มองเข้าไปอีกนิดก็จะเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ทำการไกล่เกลี่ยจนสามารถตกลงกันได้โดยทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เพื่อให้ใช้บังคับกันได้นั้น
จะเกิดขึ้นในห้องที่ทำการไกล่เกลี่ยโดยคณะกรรมการไกล่เกลี่ย ซึ่งการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยฯในห้องนี้ ก็ไม่ต้องมาแสดงบัตรอะไรให้ดูกัน เมื่อการไกล่เกลี่ยฯ
ไม่ว่าจะยุติลงด้วยประการใดๆ แล้ว พอออกจากห้องที่ใช้ทำการไกล่เกลี่ยฯ ผู้ไกล่เกลี่ยก็หมดหน้าที่แล้ว
หากผู้ไกล่เกลี่ยจะดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเองยังนอกที่ว่าการอำเภอ และสามารถทำให้คู่พิพาทตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้นั้น สัญญาประนีประนอมยอมความที่เกิดขึ้น
ก็เป็นสัญญาฯ ธรรมดา หากมีการผิดสัญญา คู่ความอีกฝ่ายต้องนำสัญญาฯ
นี้ไปฟ้องร้องต่อศาลเองต่อไป
ผู้เขียนจึงเห็นว่า การที่กระทรวงฯ
มิได้มีข้อกำหนดให้ผู้ไกล่เกลี่ยฯ มีบัตรประจำตัว ก็น่าจะด้วยประการฉะนี้
แต่ครับ แต่ก็ได้มีการนำเสนอขอให้ผู้ไกล่เกลี่ยฯ
มีบัตรประจำตัวไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว
ทราบว่าจะมีการนำไปพิจารณาต่อไป ต่อไป
และต่อไป ครับ
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอยากขอให้ผู้ไกล่เกลี่ยหลายๆ
ท่านที่ประสงค์จะมีบัตรประจำตัวฯ ว่า การได้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยตามบัญชีรายชื่อฯ
และเมื่อได้ทำการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในชุมชนจนเกิดสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้นี้
มีศักดิ์ที่เหนือกว่าบัตรประจำตัวหลายเท่ายิ่งนักครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น