คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๗๒๒/๒๕๕๕
ผู้เขียนพยายามค้นหาจากเว็บไซต์ของศาลฎีกา เพื่อยึดตามสำนวนของศาลแต่ไม่พบ มาพบในเว็บของพนักงานสอบสวน ซึ่งแน่นอนสำนวนวิเคราะห์ต้องออกมาในแนวของความเห็นของพนักงานสอบสวนดังนี้
ข้อเท็จจริง
๑. อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
๑.๑ ตามวันเวลาดังกล่าวขณะที่ดาบตำรวจ ส. สิบตำรวจโท ก.
และสิบตำรวจตรี พ. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.อ. เมือง อ.
ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ตรวจค้น ปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิด
ได้เข้าตรวจค้นจำเลยโดยมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งของผิดกฎหมายไว้ในครอบครองอันเป็นการกระทำตามหน้าที่
จำเลยได้พูดจาดูหมิ่นเจ้าพนักงานตำรวจว่า “คุณไม่มีสิทธิทำการตรวจค้น
คุณไม่ใช่นายตำรวจ คุณเป็นแค่ตำรวจชั้นประทวน” และขณะที่สิบตำรวจโท
ก. และสิบตำรวจตรี พ. คืนกระเป๋าสตางค์ของจำเลยที่ตรวจค้นแล้วให้จำเลย
จำเลยพูดดูหมิ่นเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองว่า “ตำรวจทำท่ามีพิรุธเหมือนจะยัดสิ่งของผิดกฎหมายให้ผม”
ต่อมาขณะดาบตำรวจ ส. นำรถยนต์สายตรวจมารับจำเลย
จำเลยพูดดูหมิ่นดาบตำรวจ ส.กับพวกว่า “พวกมึงเป็นตำรวจรังแกประชาชน
จะยัดสิ่งของผิดกฎหมายให้กู กูจะไม่ให้มึงอยู่อ่างทอง” ดาบตำรวจ
ส.กับพวกจึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
๑.๒ ขณะที่ดาบตำรวจ ส. กับพวก
เข้าทำการตรวจค้นและจับกุมจำเลยอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่
จำเลยต่อสู้ขัดขวางโดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการผลักหน้าอก ดาบตำรวจ ส.
กับสิบตำรวจโท ก. ในขณะเดียวกันจำเลยใช้กำลังต่อสู้ขัดขวางขณะตำรวจจะนำตัวขึ้นรถยนต์สายตรวจโดยใช้เท้าถีบกระบะท้ายรถเพื่อขัดขวางไม่ยอมขึ้นรถและเพื่อมิให้ถูกจับกุม
๑.๓ ต่อมาจำเลยไม่ยอมบอกชื่อ ชื่อสกุลและที่อยู่แก่ดาบตำรวจ ส
สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวถามชื่อจำเลยเพื่อแจ้งข้อหาและทำบันทึกการจับกุมอันเป็นการถามชื่อเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย
๑.๔ อัยการโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา๙๑, ๑๓๖, ๑๓๘ วรรคสอง, ๓๖๗
๒. จำเลยให้การปฏิเสธเมื่อสืบพยานโจทก์ และจำเลยเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งทำการตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๖
ให้จำคุก ๒ เดือนและปรับ ๒,๐๐๐ บาท
ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง
จำคุก ๒ เดือนและปรับ ๓,๐๐๐ บาท
ฐานไม่ยอมบอกชื่อหรือที่อยู่แก่เจ้าพนักงานซึ่งถามเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมาย ปรับ
๑๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้
๓. จำเลยยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
๔. อัยการโจทก์ยื่นฎีกา
ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีดังต่อไปนี้
การที่สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ.
ค้นตัวจำเลยเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า
สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. ค้นตัวจำเลยในที่สาธารณสถานซึ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา
๙๓ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า
บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิดหรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิด
หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด” แสดงว่า
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถานไม่ได้
เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าว คดีนี้
ได้ความจากคำเบิกความของสิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ. ว่า
บริเวณหลังซอยโรงถ่านมีเหตุอาชญากรรมประเภทความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ.
อาวุธปืนฯ และความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เป็นประจำ
วันเกิดเหตุเข้าไปตรวจหลังซอยโรงถ่านแล้วไม่พบความผิดปกติ
จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากซอยดังกล่าวทางด้านท้ายซอย เมื่อมาถึงถนนซึ่งมีสนามเด็กเล่นและห้องน้ำเก่าตั้งอยู่
พบจำเลยนั่งโทรศัพท์อยู่ริมถนนจึงเข้าทำการตรวจค้น
ซึ่งบริเวณที่เกิดเหตุการตรวจค้นอยู่บนถนนสุทธาวาส
ไม่ได้อยู่หลังซอยโรงถ่านตามที่สิบตำรวจโทกรุงและสิบตำรวจตรีไพรัชอ้างว่ามีอาชญากรรมเกิดขึ้นประจำแต่อย่างใดและทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีท่าทางพิรุธ
นอกจากนั่งโทรศัพท์อยู่ริมถนนสุทธาวาสเท่านั้น
ศาลฎีกาพิจารณาต่อไปว่า
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบริเวณที่เกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลังซอยโรงถ่านและจำเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธ
คงเพียงแต่นั่งโทรศัพท์อยู่เท่านั้น การที่สิบตำรวจโท ก.และสิบตำรวจตรี พ. อ้างว่า
เกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงขอตรวจค้น
โดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงเป็นข้อสงสัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมายดังกล่าวที่จะทำการตรวจค้นได้
การตรวจค้นตัวจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อป้องกันสิทธิของตนตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใดๆ
อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบดังกล่าวได้
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
เป็นฎีกาที่น่าจะศึกษาไว้เป็นอุทธาหรณ์อย่างยิ่ง ทั้งสายตรวจ และ พงส.
เพื่อหาทางปิดช่องว่างข้อกฎหมาย
...........................................................
สำหรับประโยคสุดท้ายที่เว็บสอบสวนกล่าวไว้ว่า เป็นฎีกาที่น่าจะศึกษาไว้เป็นอุทธาหรณ์อย่างยิ่ง
ทั้งสายตรวจ และ พงส. เพื่อหาทางปิดช่องว่างข้อกฎหมาย ซึ่งผู้เขียนกลับมองว่าประโยคนี้ น่าจะเขียนใหม่ว่า
เป็นฎีกาที่น่าจะศึกษาไว้เป็นอุทธาหรณ์อย่างยิ่ง ทั้งสายตรวจและ พงส.
เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องแสดงความสุภาพ ให้เกียรติแก่ประชาชน และอย่ามองว่าประชาชนเป็นทุจริตชนไปเสียหมด
ครับผม